วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัดศัลยกรรมตา

1.1 แผลห้ามถูกน้ำ 2-7 วันขึ้นกับลักษณะการผ่าตัด
1.2 ประคบเย็น 48 ชม. แรกหลังผ่าตัดเพื่อช่วยลดบวมและลดเลือดออก
1.3 หลัง 48 ชม. ให้ประคบอุ่นสลับเย็นเพื่อลดอาการบวม
1.4 ทำความสะอาดแผลได้ โดยเอาไม้พันสำลีชุบ NSS เช็ดแผลเพื่อกำจัดคราบที่เกรอะกรัง และทาครีมขี้ผึ้งฆ่าเชื้อ วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น
1.5 นอนยกศรีษะสูงเพื่อลดอาการคั่งบวมบริเวณตาทำให้เลือดไหลเวียนดี
1.6 ทานอาหารได้ตามปกติ

การทำตา 2 ชั้น รพ.บางมด มีกี่แบบ อะไรบ้าง ?

มี 2 แบบ การผ่าตัดจากภายนอก และ การผ่าตัดเย็บจากภายใน
1.1 การผ่าตัดจากภายนอก คือการผ่าตัดหนังส่วนเกินและไขมันออก
1.2 การผ่าตัดเย็บจากด้านใน เพียงเย็บเป็นจุดเล็กๆ แผลน้อย หายเร็ว ใช้ไหมละลาย

คำแนะนำ การดูแลตัวเอง หลังการผ่าตัด ศัลยกรรมเสริมจมูก และเย็บปีกจมูก

หลังผ่าตัดเสริมจมูก คำแนะนำ
1.หลีกเลี่ยงการชนกระแทรกบริเวณจมูก
2.รับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์
3.หลังผ่าตัดจะมีพลาสเตอร์ติดบริเวณสันจมูก ติดไว้ 2 วัน หลังจากนั้นแกะออกได้เลย
4.บริเวณขอบแผลจะมีไหมละลายเย็บไว้ แผลไม่ให้ถูกน้ำ 5-7 วัน ไหมจะละลายไปเองไม่ต้องตัดออก ทำ ความสะอาดแผลด้วย NSS และใช้ Betadine ทาบริเวณแผลทุกวัน เช้า – เย็น ห้ามแกะเกาบริเวณขอบแผล
5.ประคบความเย็น 48 ชม.แรก หลังจากนั้นให้ประคบอุ่นสลับกับประคบเย็นทุกวัน จนครบ 1 สัปดาห์ ประคบได้บ่อยตามต้องการ มีเวลาเยอะก็ประคบเยอะ
6. 2-3 วันแรก ให้นอนยกศรีษะสูง 45-90 องศา
7.รับประทานอาหารได้ตามปกติ ถ้ามีความเชื่อส่วนตัวเรื่องของแสลง เลี่ยงรับประทาน 1 สัปดาห์ เช่น ของ หมัก ดอง ปลาร้า อาหารทะเล งดเครื่องดื่มที่มี Alcohol และงดสูบบุหรี่ 1-2 สัปดาห์แรก
8.แนะนำนัดตรวจตามนัด เพื่อดูความเรียบร้อยหลังผ่าตัด เมื่อครบ 1 สัปดาห์ 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน
9.อธิบายให้คนไข้ทราบถึงอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนนัด


คำแนะนำเรื่องการเย็บปีกจมูก
1. หลีกเลี่ยงการอ้าปาก หัวเราะกว้างๆ 2 อาทิตย์หลังการผ่าตัด
2. อธิบายให้คนไข้ทราบถึงอาการบวมบริเวณเหนือริมฝีปากบน และอาการตึงบริเวณที่เย็บว่าอาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอาการที่ปกติ จะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ แรก
3. ไหมที่เย็บจะละลายเองไม่ต้องตัดออก
4. ทำความสะอาดแผลด้วย NSS และ Betadine ตรงบริเวณขอบบีทจมูกทุกวัน เช้า – เย็น
5. รับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์

“จุดเด่น” ของการทำศัลยกรรมจมูก ที่ รพ.บางมด เป็นอย่างไร?

จุดเด่นคือเน้นเสริมแบบธรรมชาติ ทำออกมาแล้วปลอดภัย บวมช้ำน้อย หายเร็ว ระยะเวลาพักฟื้นไม่นาน ทำเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลย วัสดุที่เลือกใช้นำเข้าจาก อเมริกา คุณสมบัติพิเศษเป็นเนื้อซิลิโคนแบบนิ่ม

การเย็บปีกจมูก (Cinching suture) กับการตัดปีกจมูก (Alar plasty) มีข้อดี ข้อเสีย ต่างกันอย่างไร ?

เย็บปีกจมูก ข้อดี...-ไม่มีแผลผ่าตัดด้านนอก ไม่ต้องตัดไหม บวมช้ำน้อย
ข้อเสีย...- มีโอกาสคลายตัว อยู่ไม่ถาวร
ตัดปีกจมูก ข้อดี...-ช่วยให้รูจมูกเล็กลงเหมาะกับผู้ที่มีรูจมูกกว้าง ปีกจมูกบานและหนา
ข้อเสีย...-มีแผลบริเวณปีกจมูก มีโอกาสเกิดแผลเป็นนูน หลังจากผ่าตัดถ้าไม่ชอบไม่สามารถคืนกลับสภาพเดิมได้

การผ่าตัดแบบ Open คืออะไร มีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างจากแบบ Close อย่างไร ?

คือการเสริมจมูกแบบมีแผลซ่อนในรูจมูกและมีแผลบริเวณปลายจมูก จะเห็นโครงสร้างได้ทั้งหมด
แบบ close ข้อดี... - มีแผลซ่อนอยู่ด้านในรูจมูก
-บวมช้ำน้อย
-ใช่เวลาผ่าตัดไม่นาน ลดระยะเวลาในการพักฟื้น
ข้อเสีย...-ไม่สามารถเห็นโครงสร้างจมูกภายในทั้งหมด
-ไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างจมูกได้ เช่นจมูกหัก สันจมูกคต
-มีโอกาสที่ซิลิโดนจะเอียงได้ โอกาสเบี้ยวพอๆ กัน
แบบ Open ข้อดี...-สามารถเห็นโครงสร้างจมูกทั้งหมด
-สามารถแก้ไขโครงสร้างจมูกได้เช่น caseจมูกหัก จมูกเบี้ยว สันจมูกคต
ข้อเสีย...-มีแผลผ่าตัดบริเวณปลายจมูก
-การบวมช้ำมากกว่าแบบ Close
-ใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดนาน ระยะเวลาในการพักฟื้นนานขึ้น

การใช้กระดูกอ่อนหลังหู ( Conchal cartilage ) มาเสริมที่ปลายจมูก มีข้อดีอย่างไร เหมาะกับคนไข้ประเภทใด ?

ข้อดี คือเพื่อไม่ให้ซิลิโคนสัมผัสกับผิวหนังบริเวณปลายจมูกโดยตรงป้องกันความเสี่ยงจากการทะลุ

ข้อเสีย คือกระดูกอ่อนอาจไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ในรายที่ผิวหนังบางสามารถคลำเจอรอยต่อของกระดูกอ่อนได้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีปลายจมูกสั้น ต้องการให้ยาว เคสแก้ไขที่ซิลิโคนทะลุที่ปลายจมูก ปลสยจมูกตีง บาง

การเสริมจมูก “ทรงธรรมชาติ” ที่ รพ.บางมด เป็นอย่างไร ?

การเสริมจมูกตามโครงสร้างของฐานจมูกเดิมปรับให้สันจมูกสูงขึ้นแต่ไม่โด่งมาก ไม่พุ่งมาก ทำออกมาแล้วปลอดภัย ปลายจมูกไม่ตึง บาง ใส เป็นธรรมชาติ สวยทุกมุม ยิ่งมองยิ่งสวย

Mini-abdominoplasty กับ Full abdominoplasty คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?

การผ่าตัดหน้าท้องแบบเล็ก ไม่มีการย้ายตำแหน่งสะดือ (Mini-abdominoplasty)
วิธีนี้เป็นการผ่าตัดโดย นำผิวหนัง และไขมัน ของหน้าท้องบริเวณส่วนล่าง (ใต้สะดือ) ออก และเย็บกระชับกล้ามเนื้อด้านล่างให้กระชับมากยิ่งขึ้น แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่บริเวณขอบล่าง (Bikini line) คล้าย ๆ แผลผ่าตัดคลอดลูก โดยไม่มีแผลบริเวณสะดือ วิธีนี้เป็นการผ่าตัดที่มีแผลผ่าตัดไม่มาก และเน้นการแก้ไขปัญหาบริเวณหน้าท้องด้านล่าง (ใต้ต่อสะดือ) เป็นหลัก
ผลลัพธ์หลังผ่าตัด หน้าท้องส่วนล่างจะตึงขึ้นอย่างมาก กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่างกระชับขึ้น
ข้อดี
- แก้ไขความหย่อนคล้อย และลายหน้าท้อง ของผิวหนังด้านล่างได้
- แก้ไขกล้ามเนื้อที่แยกหรือหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตรบริเวณด้านล่างของท้องได้
- นำไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องด้านล่างออกได้ทั้งหมด
- แผลผ่าตัดเล็กกว่าวิธี Full-abdominoplasty และ ไม่มีแผลผ่าตัดบริเวณสะดือ
- ความเจ็บหลังผ่าตัดน้อยกว่า และเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดน้อยกว่า วิธี Full-abdominoplasty
ข้อเสีย
- ไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อย และลายหน้าท้องของผิวหนังด้านบน (เหนือสะดือ) ได้
- ไม่สามารถแก้ไขกล้ามเนื้อที่แยก หรือหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร บริเวณด้านบนของท้อง (เหนือสะดือ) ได้

หน้าท้องแบบใหญ่ และมีการย้ายตำแหน่งสะดือ (Full-abdominoplasty)
วิธีนี้เป็นการผ่าตัด โดยนำผิวหนังและไขมัน ของหน้าท้องบริเวณส่วนล่าง (ใต้สะดือ) ออก และเย็บกระชับกล้ามเนื้อทั้งด้านล่างและด้านบนให้กระชับมากยิ่งขึ้น จากนั้น จะดึงนำหน้าท้องด้านบนมาปิดหน้าท้องด้านล่างแทน โดยมีการย้ายตำแหน่งสะดือ และตกแต่งสะดือใหม่ แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่บริเวณขอบล่าง (Bikini line) คล้าย ๆ แผลผ่าตัดคลอดลูก และมีแผลบริเวณรอบสะดือด้วย วิธีนี้เป็นการผ่าตัดที่เน้นการแก้ไขปัญหา ในทุกๆส่วนของหน้าท้อง ทั้งบริเวณด้านล่างและด้านบน จึงเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อยมาก ๆ ทั้งด้านบนและด้านล่าง
ผลลัพธ์หลังผ่าตัด หน้าท้อง ทั้งส่วนบนและส่วนล่างจะตึงขึ้นอย่างมาก กล้ามเนื้อหน้าท้องกระชับขึ้นทั้งส่วนบนและส่วนล่าง
ข้อดี
- แก้ไขความหย่อนคล้อย ของผิวหนังทั้งด้านบนและด้านล่างได้
- แก้ไขกล้ามเนื้อที่แยก หรือหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร ทั้งด้านบนและด้านล่างได้
- เป็นวิธีที่ นำไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องด้านล่างออกได้มากที่สุด
ข้อเสีย
- แผลผ่าตัดยาวกว่าวิธีอื่นๆ และ มีแผลผ่าตัดบริเวณรอบสะดือ
- ความเจ็บหลังผ่าตัดมากกว่า และใช้เวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดมากกว่าวิธีอื่นๆ

การดูดไขมัน (Liposuction) กับตัดไขมันหน้าท้อง (Lipectomy) ต่างกันอย่างไร ?

การดูดไขมัน (Liposuction)
เป็นการนำไขมันส่วนเกินบริเวณชั้นใต้ผิวหนังออก โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วย ในการดูดไขมัน เช่น VASER (Ultrasound assisted liposuction) , Power assisted liposuction, LASER assisted liposuction, Bodytite (Radiofrequency assisted liposuction) เป็นต้น
วิธีนี้เหมาะสำหรับ คนที่มีไขมันสะสมมาก แต่ผิวหนังไม่หย่อนคล้อย และไม่มีการแยกของชั้นกล้ามเนื้อ
ผลลัพธ์หลังผ่าตัด จะรู้สึกว่าหน้าท้องบางลง เพราะไขมันที่สะสมหายไป แต่ผิวหนังและกล้ามเนื้อจะไม่ได้กระชับขึ้น หรือหน้าท้องตึงขึ้น แบบวิธีอื่น ๆ
ข้อดี
- ไม่มีแผลผ่าตัดยาว
- เจ็บน้อย ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
ข้อเสีย
- ไม่สามารถรักษาผิวหนังที่หย่อนคล้อยมากๆได้
- ไม่สามารถรักษา กล้ามเนื้อที่แยก หรือหย่อนคล้อย จากการคลอดบุตรได้
- ไม่สามารถรักษา ลายบริเวณหน้าท้องได้

ตัดไขมันหน้าท้อง (Lipectomy)
วิธีนี้เป็นการผ่าตัดโดย นำผิวหนัง และไขมัน ของหน้าท้องบริเวณส่วนล่าง (ใต้สะดือ) ออก และเย็บกระชับกล้ามเนื้อด้านล่างให้กระชับมากยิ่งขึ้น แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่บริเวณขอบล่าง (Bikini line) คล้าย ๆ แผลผ่าตัดคลอดลูก โดยไม่มีแผลบริเวณสะดือ วิธีนี้เป็นการผ่าตัดที่มีแผลผ่าตัดไม่มาก และเน้นการแก้ไขปัญหาบริเวณหน้าท้องด้านล่าง (ใต้ต่อสะดือ) เป็นหลัก
ผลลัพธ์หลังผ่าตัด หน้าท้องส่วนล่างจะตึงขึ้นอย่างมาก กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่างกระชับขึ้น
ข้อดี
- แก้ไขความหย่อนคล้อย และลายหน้าท้อง ของผิวหนังด้านล่างได้
- แก้ไขกล้ามเนื้อที่แยกหรือหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตรบริเวณด้านล่างของท้องได้
- นำไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องด้านล่างออกได้ทั้งหมด
- แผลผ่าตัดเล็กกว่าวิธี Full-abdominoplasty และ ไม่มีแผลผ่าตัดบริเวณสะดือ
- ความเจ็บหลังผ่าตัดน้อยกว่า และเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดน้อยกว่า วิธี Full-abdominoplasty
ข้อเสีย
- ไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อย และลายหน้าท้องของผิวหนังด้านบน (เหนือสะดือ) ได้
- ไม่สามารถแก้ไขกล้ามเนื้อที่แยก หรือหย่อนคล้อยจากการคลอดบุตร บริเวณด้านบนของท้อง (เหนือสะดือ) ได้

ปากกระจับ คืออะไร ? เทคนิคปากกระจับ เฉพาะของ รพ.บางมด คืออะไร ?

“เทคนิคบางมด” สามารถทำให้ปากเป็นรูปกระจับได้ โดยที่ไม่ต้องตัดเนื้อบริเวณริมฝีปากออกมา ป้องกันการเกิดปากบางเกินไปที่อาจทำให้เห็นฟัน หรือยิ้มเห็นเหงือกได้ ซึ่งอาจเกิดได้จากการทำปากกระจับด้วยเทคนิคทั่วไปที่จะตัดเนื้อริมฝีปากด้านข้างออก อาจทำให้ปิดปากได้ไม่สนิท ริมฝีปากบาง และยิ้มเห็นเหงือกได้ โดย ปากกระจับ 3 มิติที่สวยนั้นจะต้องมีความนูนของริมฝีปากออกมาเล็กน้อย “เทคนิคบางมด” สามารถทำให้การผ่าตัดปากกระจับ มีความนูนของริมฝีปากบนตรงส่วนกลางออกมาเล็กน้อย ดูมีมิติมากขึ้น เพิ่มเสน่ห์ให้กับริมฝีปาก โดย แพทย์จะเย็บด้วยไหมละลาย และซ่อนแผลไว้ที่ด้านในปาก ทำให้แผลหายเร็ว และเป็นธรรมชาติ

“จุดเด่น” ของการทำศัลยกรรมหน้าอก ที่รพ.บางมด เป็นอย่างไร ?

โรงพยาบาลบางมด มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง และศัลยกรรมหน้าอกโดยเฉพาะ ด้วยประสบการณ์ของทีมแพทย์มากกว่า 30 ปี ครอบคลุมการศัลยกรรมความงามหน้าอก ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่

1. เสริมหน้าอก (Breast Augmentation)
โรงพยาบาลบางมดมีชื่อเสียงด้านการศัลยกรรมเสริมหน้าอกมายาวนาน และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยล่าสุด ได้แก่ การส่องกล้องช่วยผ่าตัด (Endoscopic Breast Augmentation) และการเสริมหน้าอกแบบ Dual Plane และ Subfascial plane ทำให้ได้หน้าอกใหม่ที่สวย เป็นธรรมชาติขึ้น , เกิดพังผืด (Capsular contracture) น้อยลง , แผลผ่าตัดเล็กลง เจ็บน้อยลง และระยะเวลาในการพักฟื้นเร็วขึ้นอีกด้วย

2. ลดขนาดหน้าอก (Breast Reduction)
สำหรับผู้ที่มีหน้าอกใหญ่ อาจมีปัญหาทั้ง ปวดบ่า / คอ / ไหล่ ลำบากในการสวมใส่เสื้อผ้า ออกกำลังกาย หรือการเข้าสังคม การศัลยกรรมลดขนาดหน้าอก สามารถช่วยรักษาได้ และยังสามารถยกกระชับเนื้อเต้านม , ย้ายตำแหน่งลานนม และลดขนาดลานหัวนมให้มีขนาดพอเหมาะได้ ในการผ่าตัดครั้งเดียวกันอีกด้วย

3. ยกกระชับหน้าอก (Breast lift / Mastopexy)
สำหรับผู้ที่มีหน้าอกหย่อนคล้อย ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งอายุที่มากขึ้น , การตั้งครรภ์ , การให้นมบุตร , การลดน้ำหนักมาก ๆ การผ่าตัดยกกระชับหน้าอก เป็นวิธีแก้ไขที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน และด้วยเทคโนโลยี / เทคนิคการแพทย์ที่พัฒนาไปมาก ทำให้การผ่าตัดมีแผลผ่าตัดที่เล็กลง เจ็บน้อยลง และได้รูปทรงที่สวยเป็นธรรมชาติมากขึ้น
4. เสริมสร้างหน้าอกใหม่ (Breast Reconstruction)
สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านม และต้องผ่าตัดเนื้อเต้านมออก เราสามารถเสริมสร้างเนื้อหน้าอกขึ้นมาใหม่ได้ ทั้งวิธีแบบใช้เนื้อเยื่อตัวเอง (TRAM/LD reconstruction) และวิธีใช้ถุงเต้านมเทียม (Implant based reconstruction) พร้อมทั้งยังสามารถสร้างลานหัวนม และหัวนมใหม่ขึ้นมาทดแทนได้อีกด้วย

หน้าอกแข็ง หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก เกิดจากอะไร ??? รักษาอย่างไร ?

หน้าอกแข็ง เป็นผลแทรกซ้อนทางการแพทย์ที่พบบ่อยที่สุด สำหรับคนที่ทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก บางคนเสริมหน้าอกมาตอนแรกสวยดี แต่พอผ่านไป 2-3 ปี หน้าอกแข็ง ถ้าแข็งมาก ๆ มีโอกาสผิดรูป จะต้องมาแก้ไข
สาเหตุที่หน้าอกแข็ง เป็นเพราะการเสริมด้วยขนาดที่ใหญ่มาก ๆ ในระยะยาวอาจเกิดอาการหน้าอกแข็งได้ง่าย เนื่องจากขนาดที่ใหญ่เกินไป ทำให้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างพังผืดมารัด
วิธีการป้องกัน / รักษา / แก้ไขหน้าอกแข็ง
ก่อนผ่าตัด : จะต้องเลือกวัสดุที่พอเหมาะกับร่างกาย ต้องไม่ใหญ่จนเกินไป และควรเลือกวัสดุซิลิโคนผิวทราย และใส่ไว้ใต้กล้ามเนื้อ
ระหว่างผ่าตัด : การผ่าตัดด้วยเทคนิคที่ดี เสียเลือดน้อย การติดเชื้อระหว่างผ่าตัดน้อย ก็จะช่วยให้หน้าอกไม่แข็ง
หลังผ่าตัด : ต้องดูแลตัวเองให้ดี นวดหน้าอกให้ถูกวิธี และสม่ำเสมอ

เสริมหน้าอกแล้ว มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม มากขึ้นหรือไม่ ?

จากการศึกษาวิจัยทั่วโลก พบว่า วัสดุซึ่งเป็นถุงซิลิโคนที่ได้มาตรฐานนั้น ไม่ใช่สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และไม่ได้เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งเต้านม เพราะฉะนั้น คนที่เสริม กับ คนที่ไม่เสริมหน้าอก มีโอกาสเกิดมะเร็งเต้านม พอ ๆ กัน

นอกจากนี้ หลังเสริมหน้าอกแล้ว เราสามารถตรวจเช็คมะเร็งเต้านม ทำ แมมโมแกรม (Mammogram) อัลตราซาวน์ (Ultrasound) เพื่อคัดกรองการเกิดมะเร็งเต้านมได้ตามปกติ

เสริมหน้าอกแล้วจะสามารถให้นมลูกได้ไหม ? และความรู้สึกที่หัวนมจะเหมือนเดิมหรือไม่ ?

การเสริมหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นวิธี เหนือ หรือใต้กล้ามเนื้อก็ตาม ทุกวิธีจะใส่วัสดุไว้ใต้ต่อมเนื้อเต้านม และท่อน้ำนม ฉะนั้นท่อน้ำนม ไม่ได้รับการกระทบกระเทือน จึงสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ เช่นเดียวกันกับ เรื่องความรู้สึกที่บริเวณลานหัวนม หรือหัวนมครับ การเสริมหน้าอกไม่ได้มีผลกระทบต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณหัวนม ความรู้สึกจึงเหมือนเดิม ไม่ได้ลดลง

การเสริมหน้าอก ระหว่างแผลทางรักแร้ กับ ใต้ราวนม ข้อดี ข้อเสีย ต่างกันอย่างไร ?

การศัลยกรรมเสริมหน้าอก สามารถเลือกแผลผ่าตัด ได้อยู่ 4 ที่ คือ ที่รักแร้ , ใต้ราวนม , ลานหัวนม และที่สะดือ ซึ่งสามารถนำวัสดุเข้าไปผ่านทางแผลเหล่านี้ได้ แต่ในปัจจุบันนั้น วิธีที่นิยมที่สุด มีอยู่ 2 ทางคือ

1. แผลทางรักแร้ (Axillary incision) ข้อดีคือจะไม่เห็นแผลชัด แผลซ่อนตามรอยสร้อยรักแร้ แผลจะสวยกว่า โดยเฉพาะคนที่มีเนื้อนมน้อย ไม่มีเนื้อนมคล้อยลงมีปิดแผลใต้ราวนมได้ ทำทางรักแร้จะดีกว่า หรือคนที่เป็นแผลเป็นนูน (Keloid) ง่าย การซ่อนแผลทางรักแร้จะดีกว่า ซึ่งเป็นวิธีที่ดารา นักแสดง และคนส่วนมากนิยมทำกัน แต่วิธีนี้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการทำมากกว่า

2. แผลใต้ราวนม (Inframammary incision) ข้อดีคือจะทำได้ง่าย และเจ็บน้อยกว่า แต่ระยะยาว มีโอกาสเห็นแผลเป็นได้ชัดกว่า

การเสริมหน้าอกขนาดใหญ่เกินโครงสร้าง มีข้อเสียอย่างไรบ้าง ?

สำหรับการเสริมหน้าอกนั้น วิธีเลือกขนาดและรูปทรงที่เหมาะสม แพทย์ต้องอาศัยการตรวจวัดโดยละเอียด ทั้งปริมาณเนื้อหน้าอกเดิม ความกว้าง ความยาวของโครงสร้างหน้าอก ขนาดของฐานหน้าอก และความหนาของผิวหนังและชั้นไขมัน ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละคน

การเสริมหน้าอก ด้วยซิลิโคน ขนาดที่ใหญ่มากเกินโครงสร้างของร่างกาย จะทำให้มีผลเสียหลายอย่างในระยะยาว เช่น
1. น้ำหนักซิลิโคนที่มากเกิน ทำให้เกิดหน้าอกหย่อนคล้อยได้ง่าย
2. ขนาดที่ใหญ่เกินไป ทำให้ดูไม่ธรรมชาติ คลำได้ขอบวัสดุ
3. ขนาดที่ใหญ่เกินไป กระตุ้นให้ร่างกายสร้างพังผืดมารัด ทำให้หน้าอกแข็ง และผิดรูปได้ง่ายในอนาคต
ดังนั้น หากต้องการเสริมหน้าอก ควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวัดโดยละเอียด และเลือกขนาดที่พอเหมาะกับร่างกายของเรา

ซิลิโคน ทรงกลม / หยดน้ำ ผิวเรียบ / ผิวทราย ต่างกันอย่างไร ?

ชนิดของซิลิโคนและวัสดุที่เลือกใช้สำหรับเสริมหน้าอก ก็มีผลต่อความเป็นธรรมชาติของทรวงอกเช่นกัน โดย ซิลิโคน ผิวทราย ในระยะยาวโอกาสที่จะเกิดพังผืดมีน้อยกว่าการใช้ซิลิโคนผิวเรียบ และการใช้ซิลิโคนทรงหยดนํ้า จะทำให้ได้ทรงที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าทรงกลม เป็นต้น

1. เลือกรูปทรงระหว่างทรงกลมกับทรงหยดน้ำ ซึ่งทั้งสองแบบนั้นจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป โดยทรงกลมก็จะมีความนูนทั้งด้านบน และด้านล่าง ได้เนินหน้าอกด้านบนที่มากกว่า อยากใส่เสื้อสวย ดูมีเนินอกมาก ๆ ก็ต้องทรงกลม แต่ความเป็นธรรมชาติจะน้อยกว่าทรงหยดน้ำ
สำหรับทรงหยดน้ำ รูปทรงจะมี curve มากกว่า ด้านล่างจะนูนกว่าด้านบนคล้ายสรีระของเต้านม จึงดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

2. เลือกผิวของซิลิโคนว่า จะเอาแบบผิวเรียบหรือผิวทราย
ผิวเรียบ ข้อดีคือ ราคาถูกกว่า ผ่าตัดใส่ได้ง่ายกว่า แต่มีโอกาสเกิดพังผืดรัด ทำให้หน้าอกแข็งได้มากกว่า
ส่วนผิวทรายจะดีกว่าผิวเรียบ เพราะผิวทรายสร้างมาเพื่อกระจายแรง ทำให้เกิดพังผืดน้อยกว่า โอกาสเกิดหน้าอกแข็ง จึงน้อยกว่า เป็นธรรมชาติกว่า แต่จะมีราคาที่สูงกว่าแบบผิวเรียบ

“จุดเด่น” ของการทำศัลยกรรมดึงหน้า ที่ รพ.บางมด มีอย่างไรบ้าง ?

“เทคนิคดึงหน้าบางมด” มีดังนี้
1. ฉีดยาชาเฉพาะที่ แทนการดมยาสลบ : ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ จะไม่เสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ
2. ใช้เวลาผ่าตัดเร็วขึ้นเพียง 2-3 ชม. : ทำให้เนื้อเยื่อบวมช้ำน้อยลง และ เวลาพักฟื้น เข้าที่เร็วขึ้น
3. ดึงหน้าในชั้นลึก (SMAS) ร่วมด้วย : ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และอยู่คงทนถาวรมากขึ้น
4. สามารถเลือกทำเป็นส่วนๆ ที่มีปัญหาได้ โดยแบ่งใบหน้าเป็น 4 ส่วน คือ หน้าผาก, ใบหน้าส่วนบน, ใบหน้าส่วนล่าง และ ลำคอ

การดึงหน้าในชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS) ร่วมด้วย มีข้อดีอย่างไร ?

SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) เป็นการดึงหน้าที่เหมาะกับใบหน้าคนเอเชีย เนื่องจากเป็นการดึงใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า อยู่ได้ถาวรมากขึ้น อาการบวมเขียวช้ำน้อยกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเดิม คนไข้กลับบ้านได้เลย หรือพักฟื้นโรงพยาบาล 1-2 วัน และสามารถกลับไปทำงานได้ภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์

การดึงแต่ละส่วน ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?

1. ดึงหางตา เพื่อทำให้หางตาที่ตก ยกขึ้น แก้รอยตีนกา ที่บริเวณหางตา และทำให้ใบหน้าส่วนบนตึงขึ้น โหนกแก้มยกสูงขึ้น
2. ดึงหน้าส่วนกลาง เพื่อยกโหนกแก้มขึ้น ทำให้ใบหน้าส่วนกลางตึงขึ้น
3. ดึงหน้าส่วนล่าง เพื่อแก้ไขร่องแก้มที่ลึกให้จางลง, แก้ไขร่องน้ำหมากให้จางลง ทำให้ใบหน้าล่างตึงขึ้น ใบหน้าส่วนล่างที่หย่อนถูกยกขึ้น ทำให้ดูเรียวขึ้นเป็น V-shape
4. ดึงคอ ทำให้ลำคอตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และเหนียงบริเวณคอ เพื่อให้เข้ากับส่วนของใบหน้าที่อ่อนวัยลง

การดึงหน้าที่ รพ. บางมด แบ่งเป็นกี่ส่วน ? อะไรบ้าง ?

ใบหน้าเป็น 4 ส่วน คือ หน้าผาก, ใบหน้าส่วนบน, ใบหน้าส่วนล่าง และ ลำคอ